แบรนด์ (Brands)
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นแบรนด์ทั้งนั้น แบรนด์ คือ ฉลากที่รวมเอาความหมาย และ ความเกี่ยวพันไว้ด้วยกัน แต่ แบรนด์ที่ยิ่งใหญ่จะเป็นมากกว่านั้น เพราะเป็นทั้งตัวสร้างสีสัน และ เสียงสะท้อนให้กับสินค้าหรือบริการ
บริษัท ต่างๆต้องทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างแบรนด์ สัญญาณที่บ่งความเป็นแบรนด์ชั้นเยี่ยม คือ ต้องดูว่า แบรนด์นั้น สร้างความภักดีต่อสินค้า และ การเจาะจงให้เลือกสินค้านั้นได้มากขนาดไหน แบรนด์ที่รู้จักกันดียังสร้างผลกำไรได้มากกว่า เพียงแค่ชื่อแบรนด์ก็พอจะคาดหวังถึงคุณภาพ และ คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ และ การบริการที่จะได้รับ ซึ่งก็คุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มไป
แบรนด์ ก็เหมือนการทำสัญญากับลูกค้าว่าจะให้อะไรกับลูกค้าได้บ้าง สัญญาที่ให้ไว้ต้องเป็นไปอย่างซื่อสัตย์ แล้วเราจะสร้างแบรนด์ได้อย่างไร ความคิดที่ว่าโฆษณาเป็นตัวสร้างแบรนด์เป็นเรื่องที่ผิด เพราะโฆษณาเป็นเพียงแค่การดึงความสนใจมาสู่แบรนด์ เป็นเพี่ยงการสร้างกระแสความสนใจ และการพูดถึงแบรนด์ให้เกิดขึ้นเท่านั้น การสร้างแบรนด์เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบโดยการผสมผสานของเครื่องมือที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการ โฆษณา ประชาสัมพันธ์ และอื่นๆ
ความท้าทายจริงๆไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งของโฆษณา แต่อยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้สื่อพูดถึงแบรนด์ ผู้สื่อข่าวมักจะมองหาผลิตภัณฑ์ หรือ บริการที่น่าสนใจอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้แบรนด์ใหม่ๆ ต้องพยายามสร้างสินค้าประเภทใหม่ๆขึ้นมา ต้องมีชื่อที่ติดหู และบอกเล่าเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น ถ้าสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ทำข่าวเรื่องแบรนด์ให้กับเรา ผู้คนก็จะรับรู้และบอกต่อๆกันไป การรับรู้เรื่องแบรนด์จากปากผู้อื่นจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้น ต่างจากการรู้จักแบรนด์ผ่านทางการโฆษณาที่ถูกลบเลือนไปจากความทรงจะได้ง่าย เป็นผลมาจากอคติกที่มีต่อโฆษณา
พึงระลึกว่าอย่าโฆณาแบรนด์ แต่ให้ใส่ชีวิตลงไปในแบรนด์ท้ายที่สุด แบรนด์จะได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง จากฝีมือของพนักงานในบริษัทซึ่งมอบประสบการณ์ดีๆ ให้กับลูกค้า มอบประสบการณ์ในการสัมผัสกับแบรนด์ว่าสอดคล้องกับสิ่งที่ให้สัญญาไว้หรือไม่ นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมบริษัทต่างๆ ถืงต้องมอบประสบการณ์ในการสัมผัสกับแบรนด์ตามที่สัญญาไว้
แบรนด์ที่ยิ่งใหญ่เป็นหนทางเดียวนำไปสู่การสร้างผลกำไรที่ยั่งยืน และสูงเกินกว่าเกณฑ์เฉลี่ยทั้วไป นอกเหนือไปจากผลประโยชน์ในด้านความรู้สึกให้เกิดขึ้นด้วย มีผู้จัดการแบรนด์มากมายที่ให้ความสนใจเพียงแค่ผลประโยชน์ที่ได้รับ คุณลักษณะของแบรนด์ ราคา และแผนงานโปรโมชั่น สิ่งต่างๆเหล่านี้มีผลเพียงน้อยนิดต่อการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า เพราะว่าแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่จะเล่นกับความรู้สึกของผู้คนอยู่ตลอดเวลา ยี่งไปกว่านั้นในอนาคตข้างหน้าแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ยังต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ต้องมีความห่วงใยต่อผู้คน และสังคมโลก
เมื่อนิยามคุณลักษณะของแบรนด์ได้แล้ว ก็ต้องเปิดเผยสิ่งเหล่านั้นออกมาในกิจกรรมการตลาดทุกอย่างของบริษัท พนังานที่ปฏิบัติหน้าที่ในระดับองค์กร หรือ ตามจุดบริการต่างๆ จะต้องให้บริการที่สอดรับกับจิตวิญญาณของแบรนด์ ดังนั้น ถ้าบริษัทของเราสร้างแบรนด์ให้มีลักษณะในเชิงสร้างสรรค์ เราก็ต้องจ้าง ต้องฝึกอบรม และตบรางวัลให้กับพนักงานที่มีความคิดริเริ่มใหม่ๆ ขณะเดียวกันก็ต้องกำหนดคำกำจัดความในเรื่องของการมีความคิดสร้างสรรค์ในทุกตำแหน่งงาน ไม่มีข้อยกเว้นว่าคนนั้นจะเป็นคนดูแลการผลิต คนขับรถ พนังงานตำแหน่งก็ตาม
เช่นเดียวกับหุ้นส่วนซึ่งทำธุรกิจร่วมกับบริษัทต้องมีส่วนร่วมในการแสดงบุคลิกของแบรนด์ด้วยเช่นกัน บริษัทจะไม่ปล่อยให้พนักงานยังต้องเป็นตัวแทนของแบรนด์อย่างเหมาะสม และมอบประสบการณ์ในการสัมผัส แบรนด์ตามที่ลูกค้าคาดหวังเอาไว้
บริษัท ต่างๆต้องทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างแบรนด์ สัญญาณที่บ่งความเป็นแบรนด์ชั้นเยี่ยม คือ ต้องดูว่า แบรนด์นั้น สร้างความภักดีต่อสินค้า และ การเจาะจงให้เลือกสินค้านั้นได้มากขนาดไหน แบรนด์ที่รู้จักกันดียังสร้างผลกำไรได้มากกว่า เพียงแค่ชื่อแบรนด์ก็พอจะคาดหวังถึงคุณภาพ และ คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ และ การบริการที่จะได้รับ ซึ่งก็คุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มไป
แบรนด์ ก็เหมือนการทำสัญญากับลูกค้าว่าจะให้อะไรกับลูกค้าได้บ้าง สัญญาที่ให้ไว้ต้องเป็นไปอย่างซื่อสัตย์ แล้วเราจะสร้างแบรนด์ได้อย่างไร ความคิดที่ว่าโฆษณาเป็นตัวสร้างแบรนด์เป็นเรื่องที่ผิด เพราะโฆษณาเป็นเพียงแค่การดึงความสนใจมาสู่แบรนด์ เป็นเพี่ยงการสร้างกระแสความสนใจ และการพูดถึงแบรนด์ให้เกิดขึ้นเท่านั้น การสร้างแบรนด์เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบโดยการผสมผสานของเครื่องมือที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการ โฆษณา ประชาสัมพันธ์ และอื่นๆ
ความท้าทายจริงๆไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งของโฆษณา แต่อยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้สื่อพูดถึงแบรนด์ ผู้สื่อข่าวมักจะมองหาผลิตภัณฑ์ หรือ บริการที่น่าสนใจอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้แบรนด์ใหม่ๆ ต้องพยายามสร้างสินค้าประเภทใหม่ๆขึ้นมา ต้องมีชื่อที่ติดหู และบอกเล่าเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น ถ้าสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ทำข่าวเรื่องแบรนด์ให้กับเรา ผู้คนก็จะรับรู้และบอกต่อๆกันไป การรับรู้เรื่องแบรนด์จากปากผู้อื่นจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้น ต่างจากการรู้จักแบรนด์ผ่านทางการโฆษณาที่ถูกลบเลือนไปจากความทรงจะได้ง่าย เป็นผลมาจากอคติกที่มีต่อโฆษณา
พึงระลึกว่าอย่าโฆณาแบรนด์ แต่ให้ใส่ชีวิตลงไปในแบรนด์ท้ายที่สุด แบรนด์จะได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง จากฝีมือของพนักงานในบริษัทซึ่งมอบประสบการณ์ดีๆ ให้กับลูกค้า มอบประสบการณ์ในการสัมผัสกับแบรนด์ว่าสอดคล้องกับสิ่งที่ให้สัญญาไว้หรือไม่ นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมบริษัทต่างๆ ถืงต้องมอบประสบการณ์ในการสัมผัสกับแบรนด์ตามที่สัญญาไว้
แบรนด์ที่ยิ่งใหญ่เป็นหนทางเดียวนำไปสู่การสร้างผลกำไรที่ยั่งยืน และสูงเกินกว่าเกณฑ์เฉลี่ยทั้วไป นอกเหนือไปจากผลประโยชน์ในด้านความรู้สึกให้เกิดขึ้นด้วย มีผู้จัดการแบรนด์มากมายที่ให้ความสนใจเพียงแค่ผลประโยชน์ที่ได้รับ คุณลักษณะของแบรนด์ ราคา และแผนงานโปรโมชั่น สิ่งต่างๆเหล่านี้มีผลเพียงน้อยนิดต่อการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า เพราะว่าแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่จะเล่นกับความรู้สึกของผู้คนอยู่ตลอดเวลา ยี่งไปกว่านั้นในอนาคตข้างหน้าแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ยังต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ต้องมีความห่วงใยต่อผู้คน และสังคมโลก
เมื่อนิยามคุณลักษณะของแบรนด์ได้แล้ว ก็ต้องเปิดเผยสิ่งเหล่านั้นออกมาในกิจกรรมการตลาดทุกอย่างของบริษัท พนังานที่ปฏิบัติหน้าที่ในระดับองค์กร หรือ ตามจุดบริการต่างๆ จะต้องให้บริการที่สอดรับกับจิตวิญญาณของแบรนด์ ดังนั้น ถ้าบริษัทของเราสร้างแบรนด์ให้มีลักษณะในเชิงสร้างสรรค์ เราก็ต้องจ้าง ต้องฝึกอบรม และตบรางวัลให้กับพนักงานที่มีความคิดริเริ่มใหม่ๆ ขณะเดียวกันก็ต้องกำหนดคำกำจัดความในเรื่องของการมีความคิดสร้างสรรค์ในทุกตำแหน่งงาน ไม่มีข้อยกเว้นว่าคนนั้นจะเป็นคนดูแลการผลิต คนขับรถ พนังงานตำแหน่งก็ตาม
เช่นเดียวกับหุ้นส่วนซึ่งทำธุรกิจร่วมกับบริษัทต้องมีส่วนร่วมในการแสดงบุคลิกของแบรนด์ด้วยเช่นกัน บริษัทจะไม่ปล่อยให้พนักงานยังต้องเป็นตัวแทนของแบรนด์อย่างเหมาะสม และมอบประสบการณ์ในการสัมผัส แบรนด์ตามที่ลูกค้าคาดหวังเอาไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น